Steel Seed เป็นวิดีโอเกมแนวแอคชั่นและลอบเร้นที่ปล่อยออกมาในเดือนเมษายน 2025 เกมนี้พาผู้เล่นไปสู่โลกหลังวันสิ้นโลกที่เต็มไปด้วยหุ่นยนต์อันตราย ตัวเกมถูกพัฒนาขึ้นโดย Storm in a Teacup สตูดิโอที่มีประสบการณ์จากการสร้างเกม Close to the Sun
นี่ถือเป็นโปรเจกต์ที่ใหญ่ที่สุดของทีมพัฒนาที่มีพื้นฐานมาจากประเทศอิตาลี เกมนี้เปิดตัวบนแพลตฟอร์ม PlayStation 5, Xbox Series X/S และ PC ด้วยราคา $39.99 ซึ่งเป็นราคาที่เหมาะสมสำหรับเกมคุณภาพระดับ AA
ระยะเวลาในการเล่นเกมนี้ประมาณ 12 ชั่วโมงสำหรับการจบแคมเปญหลัก ซึ่งถือว่าเหมาะสมสำหรับเกมในประเภทนี้ เกมนี้มีจุดเด่นในด้านการผสมผสานระหว่างการลอบเร้น แอคชั่น และการปีนป่ายได้อย่างลงตัว
รีวิวฉบับเต็มนี้จะมาวิเคราะห์ทุกมิติของเกม ตั้งแต่เนื้อเรื่องที่ซับซ้อน ไปจนถึงระบบเกมเพลย์ที่ท้าทาย เราจะสำรวจทั้งจุดแข็งและจุดอ่อนของเกมเพื่อให้ข้อมูลที่ครบถ้วนสำหรับนักเล่นเกมชาวไทย
ประเด็นสำคัญที่ควรทราบ
- Steel Seed เป็นเกมแนวแอคชั่นและลอบเร้นจากสตูดิโอ Storm in a Teacup
- เปิดตัวเมื่อเดือนเมษายน 2025 บน PS5, Xbox Series X/S และ PC
- ราคา $39.99 สำหรับเกมระดับ AA ที่มีความทะเยอทะยานสูง
- ใช้เวลาเล่นประมาณ 12 ชั่วโมงสำหรับเนื้อเรื่องหลัก
- ผสมผสานระหว่างการลอบเร้น แอคชั่น และการปีนป่าย
- เหมาะสำหรับผู้ชื่นชอบเกมแนวเอาชีวิตรอดและโลกหลังวันสิ้นโลก
ภาพรวม Steel Seed และโลกหลังวันสิ้นโลก
ในโลกที่มืดมิดหลังหายนะหลายร้อยปี Steel Seed นำเสนอเรื่องราวการต่อสู้เพื่อความอยู่รอดของซูเอ มนุษย์คนสุดท้ายที่ถูกแปลงร่างให้เป็นไซบอร์ก พ่อของเธอเป็นผู้สร้างการเปลี่ยนแปลงนี้เพื่อให้ลูกสาวรอดชีวิตในสภาพแวดล้อมที่มนุษย์ธรรมดาไม่อาจดำรงอยู่ได้
ซูเอต้องทำงานร่วมกับหุ่นยนต์คอบี ที่มีลักษณะคล้าย R2-D2 จากภาพยนตร์ชื่อดัง หุ่นยนต์ตัวนี้สื่อสารผ่านเสียงดนตรีแทนคำพูด แต่ช่วยเหลือเธอได้อย่างมีประสิทธิภาพทั้งในการต่อสู้และแก้ปริศนา
ภารกิจหลักของเกมนี้คือการค้นหา ชิ้นส่วนความทรงจำ 4 ชิ้นที่กระจัดกระจายทั่วโรงงานใต้ดินอันกว้างใหญ่ ชิ้นส่วนเหล่านี้เป็นกุญแจสำคัญในการฟื้นฟูมนุษยชาติจากการสูญพันธุ์
บรรยากาศในโลกเกมเต็มไปด้วยความตึงเครียด ทางเดินโลหะมืดสนิทตัดกับแสงนีออนที่กระพริบระยิบ หุ่นยนต์อันตรายรอคอยอยู่ทุกมุมเมือง ทำให้ผู้เล่นรู้สึกถึงอันตรายที่คุกคามอยู่ตลอดเวลา
ธีมหลักของเรื่องคือความหวังและความรับผิดชอบ ที่ตกอยู่บนบ่าของซูเอในฐานะมนุษย์คนสุดท้าย เธอเป็นความหวังเดียวที่เหลืออยู่สำหรับอนาคตของเผ่าพันธุ์มนุษย์
การเล่าเรื่องและบรรยากาศในเกม
ด้านการเล่าเรื่องถือเป็นจุดอ่อนสำคัญของ Steel Seed ที่ถูกวิจารณ์อย่างกว้างขวาง เนื้อเรื่องของเกมนี้คาดเดาได้ง่ายตั้งแต่เริ่มต้น ผู้เล่นจะรู้ทันทีว่าเรื่องราวจะจบลงอย่างไร

ตัวละครหลักอย่าง Zoe ถูกนำเสนอแบบทั่วไปเกินไป บุคลิกที่ร่าเริงและพูดจาแบบหนังซูเปอร์ฮีโร่ไม่เข้ากับบรรยากาศโลกหลังวันสิ้นโลก แม้การพากย์เสียงจะมีคุณภาพดี แต่การเขียนบทไม่ดีพอ
พล็อตเรื่องขาดความน่าสนใจและเหตุการณ์ที่น่าตื่นเต้น เกมมีข้อมูลพื้นหลังมากมายเกี่ยวกับบริษัทและพ่อของ Zoe แต่ไม่มีช่วงเวลาที่ดึงดูดความสนใจได้จริงๆ
ความสัมพันธ์ระหว่าง Zoe กับ KOBY ไม่สามารถสร้างความประทับใจได้ การขาดการเผชิญหน้ากับบอสตลอดเกมยกเว้นช่วงท้ายทำให้ขาดจุดไคลแม็กซ์
โดยรวมแล้ว เรื่องราวเป็นเพียงข้ออ้างสำหรับการเล่นเกม ไม่ใช่จุดขายหลัก ผู้เล่นหลายคนไม่รู้สึกว่ามนุษยชาติที่ Zoe พยายามช่วยนั้นมีคุณค่าพอ
เกมเพลย์และการออกแบบกลไกการเล่น
ผู้เล่นจะพบกับประสบการณ์เกมเพลย์ที่หลากหลายตั้งแต่การซ่อนตัวไปจนถึงการเผชิญหน้ากับศัตรู ระบบการลอบเร้นทำงานได้ดีมากและเป็นจุดแข็งหลักของเกมนี้
มีช่องระบายอากาศสำหรับล่องหนและกำแพงเอวสูงสำหรับซ่อนตัว การล่อศัตรูด้วยเสียงเคาะช่วยเพิ่มกลยุทธ์ในการเล่น การสังหารแบบ stealth kill ให้ความรู้สึกพึงพอใจสูง
ผู้เล่นสามารถดึงศัตรูตกจากขอบหรือข้ามราวกั้นได้อย่างคล่องแคล่ว การแฮ็กศัตรูให้เป็นพวกเดียวกันสร้างความหลากหลายในการจัดการสถานการณ์ต่างๆ
ด้านการต่อสู้เป็นจุดอ่อนที่ชัดเจน มีเพียงการโจมตีเบาและหนักโดยไม่มีระบบป้องกัน ทำให้การเผชิญหน้าน่าเบื่อ ตัวละครหลักมีความเปราะบางมากในการต่อสู้แบบตัวต่อตัว
ระบบสกิลต้องทำภารกิจท้าทายเพื่อปลดล็อค เช่น การฆ่าศัตรูหลายตัวในเวลาจำกัด การค้นหาของสะสมทั้งหมดบางครั้งยุ่งยากเกินไปเพราะไม่มีแผนที่ช่วยนำทาง
จุดเซฟ S4VI ทำให้ศัตรูเกิดใหม่ทุกครั้งที่รักษาเลือด คล้ายกับเกมแนว Soulslike แต่เกมนี้ไม่ใช่แนวนั้นจริงๆ ปริศนาที่ต้องใช้ KOBY ช่วยยิงปุ่มเพิ่มความหลากหลายให้เกมเพลย์
ช่วงท้ายเกมมีส่วนลอบเร้นที่ยาวเกินไปและจุดตรวจสอบเข้มงวด ทำให้เสียเวลามากหากล้มเหลว วิธีการกำจัดศัตรูเริ่มซ้ำซากหลังจากเล่นไปสักพัก
โดยรวมแล้ว เกมเพลย์มีความหลากหลายระหว่างการลอบเร้น การต่อสู้ และการปีนป่าย แต่ควรหลีกเลี่ยงการต่อสู้แบบตรงๆ เพราะเป็นจุดอ่อนที่ชัดเจนที่สุด
กราฟิกและประสบการณ์เสียงใน Steel Seed
ประสบการณ์ด้านภาพและเสียงของวิดีโอเกมนี้มีทั้งช่วงที่น่าประทับใจและจุดที่ควรปรับปรุง การออกแบบโลกในเกมมีความไม่สม่ำเสมออย่างชัดเจน บางพื้นที่ดูธรรมดาเกินไปขณะที่บางส่วนสร้างความตื่นตาตื่นใจได้ดี

ผู้เล่นจะพบกับพื้นที่ภายในที่คล้ายกันมากเกินไป ทำให้การเผชิญหน้ากับศัตรูบางครั้งรู้สึกซ้ำซาก อย่างไรก็ตาม ยังมีช่วงเวลาที่น่าประทับใจเช่นหุ่นยนต์ขนาดยักษ์ที่เทียบเท่าสิ่งมีชีวิตใน God of War
การออกแบบตัวละคร Zoe มีปัญหาที่สำคัญ หน้ากากปิดบังอารมณ์ของเธอทำให้ผู้เล่นรู้สึกไม่เชื่อมโยงกับความเป็นมนุษย์ นอกจากนี้ แสงสว่างในบางพื้นที่มืดเกินไปจนมองเห็นได้เพียงไม่กี่นิ้วข้างหน้า
ด้านเสียงและเพลงเป็นประสบการณ์ที่ผสมผสาน เพลงส่วนใหญ่ไม่น่าจดจำยกเว้นธีมหลักจาก Porcelain Pill Zoe พูดมากเกินไปขณะเล่นแบบ stealth ซึ่งเริ่มน่ารำคาญหลังจากเล่นไปสักระยะ
Performance บน PS5 Pro และ Xbox Series X/S ค่อนข้างดี framerate ลื่นไหลตลอดการเล่น มีการลดลงเล็กน้อยเพียง 1-2 ครั้งเท่านั้น หลัง day two patch ปัญหา crash กว่า 80 ครั้งได้รับการแก้ไขแล้ว
โดยรวมแล้ว กราฟิกและเสียงมีคุณภาพดีในบางส่วนแต่ขาดความสม่ำเสมอ การออกแบบบางอย่างควรได้รับการปรับปรุงเพื่อประสบการณ์การเล่นที่ดียิ่งขึ้น
ความท้าทายและสมดุลในเกมเอาตัวรอด
ความสมดุลของความยากในเกมนี้เป็นประเด็นสำคัญที่ผู้เล่นหลายคนพบเจอ หนึ่งในสามแรกของเกมบนโหมดปกติค่อนข้างยุติธรรมและทำได้ง่าย แต่ปัญหาเริ่มปรากฏเมื่อความยากเพิ่มขึ้นอย่างกะทันหัน
AI ของหุ่นยนต์ดูฉลาดขึ้นทันทีทันใดและสามารถพบผู้เล่นได้แม้จะซ่อนอยู่อย่างดี ศัตรูเหล่านี้สามารถกำจัดตัวละครหลักได้ในเพียง 2-3 ครั้งโจมตี ทำให้การเผชิญหน้ากลายเป็นเรื่องท้าทายมาก
ผู้เล่นหลายคนอาจต้องเปลี่ยนมาเล่นโหมดเรื่องราวเพื่อความสนุกมากขึ้น แม้โหมดนี้จะยังมีความท้าทายอยู่แต่ให้ประสบการณ์ที่ดีกว่า การต่อสู้กับบอสตอนจบยากมากแม้บนโหมดเรื่องราวและต้องพยายามหลายครั้ง
ช่วงกลางเกมมีสมดุลที่ดีระหว่างการลอบเร้นและการเผชิญหน้า การผสมผสานศัตรูและขนาดพื้นที่เหมาะสมทำให้เกมเพลย์น่าสนใจ แต่ช่วงปลายเกมมีปัญหาเรื่องส่วนลอบเร้นที่ยาวเกินไป
จุดตรวจสอบที่เข้มงวดหมายความว่าต้องเริ่มใหม่ตั้งแต่ต้นหากล้มเหลว บางครั้งเสียเวลา 15-20 นาทีของการเล่นอย่างระมัดระวังเพียงเพราะผิดพลาดครั้งเดียว
วิธีการกำจัดศัตรูมีจำกัดและกลายเป็นซ้ำซากเร็วเกินไป ผู้เล่นพบว่าตัวเองใช้กลยุทธ์เดิมๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า การรีโหลดจุดตรวจสอบมักเป็นทางเลือกที่ดีกว่าการต่อสู้แบบเปิดเผย
โดยรวมแล้วความท้าทายของ Steel Seed มีความไม่สม่ำเสมอ แต่หากปรับระดับความยากให้เหมาะสมก็สามารถให้ประสบการณ์การเล่นที่น่าพอใจได้
มุมมองสุดท้ายและคำแนะนำสำหรับนักเล่น
ทีมพัฒนา Storm in a Teacup ได้แสดงความพยายามอย่างชัดเจนในการสร้าง Steel Seed ให้เป็นเกมที่มีเอกลักษณ์ คะแนนรวม 7/10 สะท้อนให้เห็นว่านี่เป็นเกมระดับ AA ที่มีทั้งจุดเด่นและจุดด้อยชัดเจน
เนื้อเรื่องอาจไม่น่าประทับใจและคาดเดาได้ง่าย แต่ก็เพียงพอสำหรับการขับเคลื่อนเกมเพลย์ ความหลากหลายของการเล่น ระหว่างการลอบเร้น แอคชั่น และการปีนป่ายถือเป็นจุดแข็งสำคัญ
ระบบ stealth เป็นจุดเด่นที่ควรเน้น ในขณะที่การต่อสู้ตรงๆ เป็นจุดอ่อนที่ควรหลีกเลี่ยง ปัญหาหลักคือระบบปลดล็อคสกิลที่ต้องหาของสะสม ซึ่งยุ่งยากเกินไปโดยเฉพาะเมื่อไม่มีแผนที่ช่วยนำทาง
ด้านเทคนิค Performance และ framerate ทำงานได้ดีบน PS5 Pro และ Xbox Series X/S หลังการอัปเดตแก้ไข ราคา $40 อาจสูงไปสำหรับบางคนในตลาดที่แข่งขันสูง
เกมนี้เหมาะสำหรับผู้ชื่นชอบเกม stealth ที่พร้อมยอมรับข้อจำกัดบางประการ อย่าคาดหวังสูงเกินไป และอาจพบกับความประหลาดใจในทางที่ดี










